หลังเหตุการณ์ 9/11 ทำให้พี่เบิ้มยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างสหรัฐอเมริกา หันมาใส่ใจป้องกันการก่อวินาศกรรมกันขนานใหญ่ ทำให้สื่อต่างๆ ขยันประดิษฐ์เรื่องราวให้ฝ่ายตรงข้าม ที่ถูกมองว่าเป็นผู้ก่อการร้ายนั้น การกระทำใดๆ ถือเป็นคนผิดแบบไม่มีสิทธิเถียง ส่วนฝ่ายถูกก็ยกให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทั้งหลาย ที่ออกโรงปกป้องอเมริกันชน และควรค่าแก่การยกย่อง หากจะกระทำผิดก็เพราะมีเหตุสมควร นั่นคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกถ่ายทอดผ่าน Survivor ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง
Survivor ถ่ายทอดเรื่องราวของ เคท แอ๊บบอต เจ้าหน้าที่วีซ่า ประจำสถานทูตอเมริกาในลอนดอน ที่ได้กลิ่นไม่ชอบมาพากลของการก่อการร้าย แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝันที่คร่าชีวิตเพื่อร่วมงานของเธอ อีกทั้งเธอยังถูกใส่ร้าย จนกลายเป็นผู้ต้องสงสัยอีกต่างหาก เธอจึงถูกหน่วยงานรัฐบาลตามล่า ต้องหนีเอาเป็นเอาตาย และในขณะเดียวกัน ก็ต้องหยุดยั้งแผนบ่อนทำลายชาติครั้งใหญ่ ที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วย
การที่หนังเลือกสองนักแสดงที่ผู้ชมคุ้นเคยกับการถือปืน ออกลีลาบู๊ล้างผลาญอย่าง มีล่า โจโววิช (อลิซ สาวแกร่งเหนือโลก ในแฟรนไชส์ Resident Evil) และ เพียร์ซ บรอสแนน (อดีตสายลับเจมส์ บอนด์ 007) มาเป็นจุดขายของเรื่อง น่าจะช่วยให้หนังมีกำลังวังชาขึ้นมาก แต่ทว่าด้วยเรื่องราวทั้งหมดที่เป็นไปอย่างเถรตรง ตามแนวทางที่ถูกขีดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของหนังแอ็คคชั่นสืบสวน ไม่มีสิ่งใดแปลกใหม่หรือชวนตื่นเต้นเซอร์ไพรส์ อีกทั้งยังมีส่วนขาดๆ เกินๆ ไร้ที่มาที่ไปตามรายทางอีกมากมาย ทำให้ภารกิจไล่ล่าครั้งนี้ ช่างดูระโหยโรยแรงไปถนัดตา
สิ่งที่น่าเสียดายอย่างยิ่งคือ บรรดากิตติศัพท์ที่ตัวละครประเภท “กองอวย” พากันสรรเสริญ เคท (โจโววิช) และ ช่างทำนาฬิกา (บรอสแนน) คำก็รอบรู้ที่สุดบ้าง อีกคำก็ร้ายกาจที่สุดบ้าง ซึ่งพอเอาเข้าจริงแล้ว มันก็เป็นดังเสียงลือเสียงเล่าอ้าง เป็นเพียงลมปากที่ยึดถือความจริงไม่ได้ เพราะทั้งสองไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถเหนือชั้นตามนั้นเลย อีกทั้งการตั้งคุณลักษณะให้ตัวพ่อตัวแม่ของเรื่องนี้ เป็นคนที่ไม่มีครอบครัว ไม่ต้องผูกพันกับใคร และตั้งหน้าตั้งตาทำภารกิจ เพื่อจุดประสงค์ของตนเพียงอย่างเดียวนั้น ทำให้ทั้งสองออกจะคล้ายกับเครื่องจักรคอมพิวเตอร์ มากกว่ามนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ
ในขณะที่ตัวละครเด่นของเรื่องถูกทำให้แบนราบ บรรดาปูมหลังซับซ้อน แรงจูงใจจากอดีต กลับถูกโยนไปให้ตัวละครรองๆ ลงมาอีกหลายต่อหลายคนแทน การให้ความสำคัญผิดที่ผิดทางเช่นนี้ นอกจากจะรกรุงรังเกินจำเป็นแล้ว มันยังแกว่งจุดสนใจไปทั่ว และทำให้ผู้ชมไม่รู้จะเอาใจช่วย สาปส่ง หรือเป็นกังวลกับชีวิตของใครกันแน่
.
หนังแอ็คชั่นสืบสวน หรือ โฆษณาชวนเชื่อ ?
.
นอกจากคำสรรเสริญเยินยอที่เชื่อถือไม่ได้แล้ว จุดด่างพร้อยอีกประการหนึ่งของ Survivor ก็เกิดมาจากการอวยเกินเหตุอีกเช่นกัน กับท่าทีของหนังที่สั่งสอนผู้ชมอย่างจริงจัง ให้รับรู้ถึงคติประจำใจของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงสหรัฐว่า พวกเรานั้นทำไปเพื่ออะไร เป็นห่วงเป็นใยประชาชน และรักความถูกต้องมากมายขนาดไหน การย้ำสิ่งนี้หลายครั้งหลายหน ทำให้การชม Survivor ให้ความรู้สึกของโฆษณาชวนเชื่อขององค์กร มากกว่าหนังแอ็คชั่นสืบสวนเสียอย่างงั้น
ทุกจังหวะของ Survivor จะถูกขับเคลื่อนด้วยยุ่งเหยิง และรอยโหว่มากมายจนแทบพรุน หากตัดช่วงอารัมภบทยืดยาวออกไป หนังก็มีช่วงท้ายๆ ให้พอดูสนุกอยู่บ้าง แต่ก็อย่างว่าแหละครับคุณผู้อ่าน การมาถึงของมหกรรมนับถอยหลังในฉากสุดท้าย นับว่าถูกที่ถูกเวลา เพราะหลังจากหนังถูไถจนถลอกปอกเปิกไปทั้งตัว เมื่อนาฬิกาถึงจุดสิ้นสุดของการนับ หนังประชาสัมพันธ์องค์กรก็จบลงพอดี ก่อนที่ปิดท้ายด้วยสถิติ ราวกับจะขึ้นสโลแกน ชีวิตคุณ ให้เราดูแล เสียให้รู้แล้วรู้รอด
เรื่องนี้จัดไป 6.5 / 10 ครับ
Lecter.
—————————-
ชวนสมาชิกเอ็มไทยร่วมให้คะแนนหนังเรื่อง Survivor ได้ที่นี่
—————————-
The post Survivor : ชีวิตคุณ ให้เราดูแล appeared first on MThai Movie.